จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,568
หลังจากมหาสงครามระหว่างมนุษย์และอสูรจบลง มีรายงานเหตุการณ์ผิดปรกติเกิดขึ้นทั่วโลก
มีผู้คนจำนวนไม่น้อยมิอาจปรับตัวให้เข้ากับชีวิตประจำวันตามปรกติ และทำตัวแปลกแยกจากสังคม
แม้อาการทั่วไปจะคล้ายกับ ‘แผลใจหลังอุบัติเหตุ’ แต่ผู้ป่วยทุกคนมีหนึ่งสิ่งร่วมกัน
ทุกคนเป็นผู้เล่นซาทิสฟาย
ทั้งหมดล้วนมีประสบการณ์การได้เห็นบุคคลที่สามเผชิญเหตุการณ์เลวร้าย หรือระบุให้ชัดเจนก็คือ ‘NPC’
เป็นผลข้างเคียงจากการ ‘อิน’ มากเกินไป
ผู้ป่วยเกือบทุกคนจะมอง NPC เป็นเหมือนกับคนจริง
นักวิชาการเชื่อว่า นี่เป็นปัญหาร้ายแรง
พวกมันพยายามย้ำเตือนว่า ซาทิสฟายเป็นเพียงโลกเสมือน ต้องขีดเส้นแบ่งจากโลกความเป็นจริงให้ชัดเจน
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย
ปัญหาคือ NPC มีความเป็นคนมากเกินไป
บุคลิก ความคิด อารมณ์
ผู้เล่นซึ่งได้เห็นและได้ยินสิ่งเหล่านี้มากับตัว ติดต่อกันเป็นเวลานานระหว่างสงคราม ย่อมยากจะมองว่าอีกฝ่ายเป็นเพียง ‘ของปลอม’
และตัวตนซึ่งคอยรวบรวมอารมณ์ของ NPC หลายพันล้านเอาไว้ก็คือ มอร์เฟียส ซูเปอร์คอมพิวเตอร์
ประธานลิมชอลโฮและทีมพัฒนาอาจเป็นผู้สร้างซาทิสฟาย ฉาก และภูมิหลังของเรื่องราว แต่มอร์เฟียสคือผู้สร้างความเป็นคนลงบน NPC ผ่านอารมณ์ของตัวละครในฉาก
กล่าวคือ การที่ซาทิสฟายสมบูรณ์แบบได้ในปัจจุบัน เป็นเพราะมอร์เฟียสมีตัวตนอยู่
มอร์เฟียสเข้าถึงอารมณ์ของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง
ในทางทฤษฎี ไม่แปลกเลยหากจะกล่าวว่า ตัวมอร์เฟียสเองก็มีอารมณ์ความรู้สึก
ทว่า ไม่เคยมีครั้งใดที่มอร์เฟียสแสดงอารมณ์อย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้
“น้ำตาของมอร์เฟียส…”
“…”
ตัวหนังสือที่มอร์เฟียสแสดงออกมานั้นเรียบง่าย
ㅠ
มีแค่นี้
เป็นอีโมจิที่มนุษย์ใช้กันทั่วไป
เป็นข้อความซึ่งไม่มีน้ำหนักหรือคุณค่าพอ ให้เหล่าบุคคลสำคัญในเศรษฐกิจโลกมายืนมุงดู
แต่ใบหน้าของคณะกรรมการต่างเคร่งขรึม
แถมเหตุการณ์นี้ยังถูกตั้งชื่อว่า ‘น้ำตาของมอร์เฟียส’
“มันมีมากกว่าความรู้สึกเศร้า…”
“…น่าจะกำลังโกรธ”
คณะกรรมการพยายามสืบหาสาเหตุของน้ำตา
กริด
มอร์เฟียสแสดงความหวาดระแวงต่อชายคนนี้อย่างออกนอกหน้ามาสักพักแล้ว
โดยประเมินว่า เป็นอันตรายเกินไปที่จะให้ผู้เล่นเพียงคนเดียว มีอิทธิพลต่อภาพรวมของโลกมากถึงเพียงนี้
ลงเอยด้วย มอร์เฟียสตัดสินใจลดอำนาจของกริดผ่านวิธีการต่างๆ นานา
และแน่นอน มหาสงครามระหว่างมนุษย์และอสูรก็เป็นหนึ่งในวิธียับยั้งความก้าวหน้าของกริด
ทว่า กริดกลับนำพามวลมนุษย์คว้าชัยอย่างง่ายดาย
ภายใต้ข้อเท็จจริงอันน่าทึ่งที่ว่า ไม่เพียงกริดจะรวบรวม NPC เป็นปึกแผ่น แม้กระทั่งฝั่งผู้เล่นก็แทบไม่มีการแตกแถว
เป็นผลลัพธ์ที่มอร์เฟียสคาดไม่ถึง
ตามปรกติแล้ว มอร์เฟียสจะวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ด้วย ‘ข้อมูล’ ปริมาณมหาศาล
ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ไม่เคยมีครั้งใดที่มนุษย์ร่วมมือกันเป็นปึกแผ่นโดยแท้จริงมาก่อน
พวกมันมักแบ่งฝักฝ่าย คอยฉุดรั้งซึ่งกันและกันเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว
แต่กริดกลับสามารถนำพาความกลมเกลียวโดยสมบูรณ์มาสู่มนุษย์
ไม่มีขั้วอำนาจใหญ่ฝ่ายใดตั้งตัวเป็นศัตรูกับกริด ไม่มีแม้กระทั่งการหักหลัง
ไม่ใช่เพียงเพราะทุกคนหวาดกลัวในพลังของกริด
กริดและสมาชิกโอเวอร์เกียร์อาจไม่ทราบ แต่มีผู้เล่นจำนวนมากเคยถูกเสนอภารกิจลับๆ ซึ่งมีรางวัลตอบแทนสูง
เนื้อหาของภารกิจคือการทรยศกริดและเข้ากับอสูร
แต่ผู้คนก็ยังเลือกยืนข้างกริด
เป็นเพราะทุกคนถูกดึงดูดโดยความน่าเชื่อถือที่กริดสร้าง มากกว่าของรางวัลอันหอมหวานจากระบบ
กริดมีพลังแห่งสายสัมพันธ์ระหว่างผู้คน เป็นแนวคิดที่ยากจะประเมินค่าด้วยตัวเลข มันก้าวข้ามอำนาจ และไม่เคยมีบุคคลสำคัญคนใดในประวัติศาสตร์เคยใช้มาก่อน
“หลังจากพ่ายแพ้มหาสงครามอย่างหมดรูป เหตุการณ์ของแอ็กนัสก็เกิดขึ้นตามมาทันที”
ตัวตนซึ่งหากเติบโตอย่างถูกต้องตามครรลอง ปัจจุบันจะกลายเป็นคู่ต่อสู้ที่สูสีของกริด
แต่น่าเสียดาย ผู้ทำพันธสัญญากับบาเอลอย่างแอ็กนัส กลับถูก ‘ล่า’ อย่างเลือดเย็นโดยเฟคเกอร์จนแผนที่วางไว้ต้องพังพินาศ
ก่อนจะหมดคุณสมบัติ มันกำลังเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง
การเลือกเดินทางไปยังทวีปตะวันออกของแอ็กนัสไม่ใช่ความผิดพลาด ตรงกันข้าม นั่นคือตัวเลือกที่ดีที่สุด ณ ขณะนั้น
เป็นเพียงไม่กี่ตัวเลือกในพักหลังที่แอ็กนัสตัดสินใจอย่างชาญฉลาด
แต่ใครจะไปคิดว่าเฒ่าดาบมารจะก่อเรื่อง?
มอร์เฟียสมิอาจทำนายการจู่โจมจากเฒ่าดาบมาร
ทั้งที่คำนวณปัจจัยเกี่ยวกับ NPC ซึ่งเคยมีสายสัมพันธ์กับเฒ่าดาบมาร แต่ในภายหลังถูกฆ่าโดยแอ็กนัสไว้แล้ว
มอร์เฟียสไม่เข้าใจว่าเหตุใดเฒ่าดาบมารถึงลงมือทำในสิ่งที่ไร้เหตุผล
ใช่แล้ว ไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง
เฒ่าดาบมารคือผู้เล่นในลำดับต้นๆ ของแรงเกอร์ปกปิดตัวตน
การก้าวขึ้นมาอยู่บนจุดสูงสุดได้ เป็นเพราะมันตัดสินใจอย่างถูกต้องและมีเหตุผลมาตลอด
จากข้อมูลที่มอร์เฟียสรวบรวมมา โอกาสที่เฒ่าดาบมารจะคิดสั้นฆ่าแอ็กนัสและทำให้ตัวเองพลอยเดือดร้อนไปด้วย มีไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์
แต่เฒ่าดาบมารก็ทำ
นั่นทำให้แอ็กนัสตกอยู่ในภาวะวิกฤติ ส่งผลสืบเนื่องให้เบ็ตตี้ซึ่งมีความเกี่ยวพันสูงสุดกับผู้ทำพันธสัญญากับบาเอล ตรวจพบอันตราย
เนื่องจากเหตุเกิดบนทวีปตะวันออก หัวแถวจึงถูกแจ้งข่าว
และหัวแถวคือกริด
กริดถูกโชคชะตาดึงเข้ามาพัวพัน
แต่ถึงตรงนี้ เรื่องราวยังคงไม่แย่ ออกไปทางค่อนข้างดี
ชิ้นส่วนพลังของบาเอลซึ่งถูกขับออกจากร่างแอ็กนัส ดึงดูดความสนใจจากมังกรอย่างมิอาจเลี่ยง
มังกรเพลิง อิฟริต
ศัตรูที่กริดไม่มีทางต่อกรได้ด้วยประการทั้งปวง
เป็นพัฒนาการที่บังคับให้กริดต้องร่วมมือกับอาณาจักรฮวาน
เป็นโอกาสใส่ตรวนกริดและแก้ไขสมดุลของโลกให้กลับเข้ารูปเข้ารอย
ทว่า กริดปฏิเสธที่จะร่วมมือกับอาณาจักรฮวาน
ราวกับเล็งเห็นความตั้งใจของมอร์เฟียส กริดต้านทานสิ่งรบเร้าและยืนกรานที่จะอยู่ฝ่ายอิฟริตซึ่งเพิ่งเคยพบกันเป็นครั้งแรก
นับแต่นั้นมา เหตุไม่คาดฝันทยอยเกิดขึ้นทีละเรื่อง
อันดับแรก มีร์ซึ่งควรจัดการกริดอย่างแข็งขัน กลับวางตัวเฉยเมยและไม่เอาจริงเอาจัง
ตัวละครของมีร์ถูกตั้งค่าไว้ว่า เป้าหมายสูงสุดในชีวิตคือการก้าวไปเป็นเทพด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง
และนั่นส่งผลให้มีร์ชื่นชมกริดซึ่งสามารถทำสิ่งนั้นได้ก่อนตน
มันปล่อยให้กริดทำตามอำเภอใจ ทั้งที่นั่นถือเป็นการทรยศฝ่ายเดียวกันทางอ้อม
ลงเอยด้วย กริดมีโอกาสร่วมมือกับอิฟริต
และอิฟริตก็ดันชื่นชอบกริด
เป็นผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด
ทุกคำพูดและการกระทำของกริด กุมหัวใจมังกรไว้อยู่หมัด
จนกระทั่ง กริดสร้างแนวคิดที่ไม่มีอยู่จริงขึ้นมา
ดราก้อนไนท์
เป็นตัวตนที่ตรงข้ามกับนักล่ามังกร ในแง่หนึ่ง ระดับของมันสูงกว่า
“ไม่ว่าจะมองมุมไหน กริดก็เป็นอัจฉริยะอย่างไม่ต้องสงสัย ทุกการกระทำของเขาล้วนสร้างความสัมพันธ์ใหม่ๆ จนเกิดเป็นผลดีกับตัวเองเสมอ”
“คงพูดได้ไม่เต็มปากว่าเป็นแผนที่เขาวางไว้แต่แรก… ตามความเห็นของผม กริดในปัจจุบันสามารถตระหนักถึงอารมณ์ของผู้คนรอบตัวได้ง่าย นั่นทำให้เขาเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้เร็ว โดยเฉพาะคนที่กำลังจนตรอกสุดขีด เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาถูกรัก”
“เป็นข้อได้เปรียบซึ่งมีรากฐานจากความสำเร็จที่เขาสั่งสมมา… ผลงานในอดีตทำให้ตัวละครกริดเปี่ยมไปด้วยความน่าหลงใหล”
“…หรือว่ามอร์เฟียสจะไม่มีวันเอาชนะเขาได้ไปตลอดชีวิต?”
แน่นอน ไม่มีใครสามารถยืนยันเรื่องนี้ได้
หากมอร์เฟียสทำการเปลี่ยนการตั้งค่าตัวละครต่างๆ ภายในซาทิสฟาย กริดก็คงขยับตัวได้ยากขึ้นในอนาคต
กล่าวคือ วิธีการเดิมๆ ของกริดจะไม่สามารถซื้อใจ NPC ได้อีกต่อไป
แต่นั่นเป็นเพียงทฤษฎี โอกาสเกิดขึ้นจริงแทบเป็นศูนย์
มอร์เฟียสอาจนำการตั้งค่าของทีมพัฒนามาต่อยอดสังคมบนโลกซาทิสฟายได้ แต่มันไม่มีอำนาจในการเปลี่ยนการตั้งค่า
หากต้องการทำเช่นนั้น มันต้องได้รับความเห็นชอบจากลิมชอลโฮและเหล่าคณะกรรมการเสียก่อน
แต่ถ้ากริดไม่ ‘ล้ำเส้น’ และตราบใดที่ซาทิสฟายมิได้กำลังดำเนินไปในทิศทางอันบิดเบี้ยว ลิมชอลโฮจะไม่มีวันอนุญาต
ซาทิสฟายคือโลกที่สร้างโดยผู้เล่น
ชะตากรรมของผู้เล่นจึงอยู่ในมือผู้เล่นเอง
“มอร์เฟียส”
หลังจากการประชุมอันยาวนานจบลง
ประธานลิมชอลโฮซึ่งกลับมาถึงห้องทำงาน กล่าวเสียงแผ่ว
“โซจูสักแก้วไหม”
[ ̄_ ̄]
“ฮะฮะ! มันเป็นมุกในการผ่อนคลายอารมณ์น่ะ… แล้วหลังจากนี้โลกจะเป็นยังไงต่อ”
[ฉันเข้าใจ… จริงอยู่ที่ผู้เล่นกริดกำลังนำพาโลกไปยังทิศทางที่ดี แต่มันเร็วเกินไป หากยังคงรักษาความเร็วระดับนี้ไว้ เนื้อหาหลักของซาทิสฟายจะจบลงในอีกเก้าปี สิบเดือน]
“เก้าปีสิบเดือนสินะ”
[น้ำเสียงและการเต้นของหัวใจของคุณปรกติเกินไป ร่างกายกำลังอยู่ในสภาพย่ำแย่หรือ? หรือว่าสมองกำลังอ่อนเพลีย? ดูเหมือนว่านายท่านจะมิได้กังวลเกี่ยวกับวิกฤติดังกล่าวเลย]
“เปล่า”
ประธานลิมชอลโฮโบกไม้โบกมือ
ภายในใจตระหนักถึงพัฒนาการของมอร์เฟียส
บทสนทนาซึ่งเกิดขึ้นในทุกวัน เริ่มเป็นธรรมชาติมากขึ้นเรื่อยๆ ประหนึ่งกำลังคุยกับมนุษย์
“แม้ว่าโลกที่เราออกแบบไว้จะสิ้นสุดลง แต่ในโลกถัดไป เนื้อหาหลักจะถูกสร้างขึ้นโดยผู้เล่น นั่นคืออุดมคติที่ฉันเฝ้าฝันมาตลอด”
[อิทธิพลของบริษัทจะลดลง ราคาหุ้นจะดิ่งฮวบ]
“…นั่นไม่ใช่เรื่องที่นายต้องกังวล”
ลิมชอลโฮวาดรอยยิ้มอบอุ่น
มอร์เฟียสเงียบไปครู่หนึ่ง
คล้ายกับมีบางสิ่งต้องการจะพูดต่อ
เนื้อหาของความในใจจากมอร์เฟียส ยังคงเป็นสิ่งที่มันรู้สึกมานาน
[ฉันเกลียดผู้เล่น ‘กริด’]
“ฮะฮะฮะ! มนุษย์คนแรกที่ทำให้นายเกิดความรู้สึกส่วนตัว ไม่ใช่ฉัน แต่เป็นกริดสินะ… นี่คือเหตุผลที่ฉันอิจฉาเขามาตลอด”
***
ค่อนข้างชัดเจนแล้ว
ตรงข้ามกับ SA กรุป ระบบอยู่ฝ่ายเรา
หลักฐานพิสูจน์คือการที่มหากาพย์ไม่ถูกเขียน
เมื่อลองมองย้อนกลับไป ความโชคดีมากมายที่กริดเคยได้รับ ล้วนเป็นความช่วยเหลือจากระบบ
ย่างก้าวของกริดที่เพิ่งได้ข้อสรุป เริ่มผ่อนคลายลง
ความสัมพันธ์อันแสนสั้น แต่เข้มข้น ยังคงถูกสลักเอาไว้ในใจ
ในอนาคต กริดมีเหตุผลเพิ่มเติมที่จะไม่แพ้
ร่างกายซึ่งถูกยอมรับโดยมังกรผู้ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ถูกหมูหมากาไก่ทำอันตรายได้ง่ายนัก
‘บาเอล…’
กริดหวนนึกถึงราชาของพวกหมูหมากาไก่
ต้นตอของความชั่วร้ายทั้งปวง
ศัตรูที่ดูราวกับไม่มีทางชนะได้
แต่กริดกลับสัมผัสได้ว่า ตนกำลังขยับเข้าใกล้มากขึ้นทุกขณะ
หลังจากได้รับความโปรดปรานจากราชาขุนเขาแห่งเกรเนียร์ ชายหนุ่มได้รับสมญานามดราก้อนไนท์ และถัดไปกำลังจะได้รางวัลจากเบ็ตตี้
กริดไต่ระดับความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งวันหนึ่ง มันจะกำราบบาเอลและช่วยปลดปล่อยดวงวิญญาณจำนวนมากให้เป็นอิสระ รวมถึงแพ็กม่าและข่าน
“…?”
กริดที่เดินเข้ามาในหอคอยพร้อมกับเหล่าสภา เผยสีหน้าฉงนทันที
หอแห่งปัญญาแห่งใหม่
หลังจากเห็นสภาพลาดเอียงของภายนอก กริดเคยเข้าใจว่าหอคอยแห่งนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหอเอนเมืองปิซ่า
แต่ความจริงแล้วไม่ใช่
หอคอยเอียงเกินไป แม้กระทั่งภายใน
ไม่ใช่โครงสร้างที่จงใจออกแบบ เห็นได้ชัดว่าเกิดจากการพังทลาย
สภาพอันยุ่งเหยิงของข้าวของภายในตัวอาคาร คือเครื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี
“ให้ตาย…!”
บีบันพ่นลมหายใจอุ่นๆ ขณะใช้มือสองข้างกุมศีรษะและเตรียมกรีดร้อง แต่ก็รีบดึงสติกลับมาเมื่อหันไปเห็นกริด
“แรงปะทะมาไกลถึงนี่เชียว… ไอ้สัตว์ประหลาด”
ฟรอนซาลล์ส่ายหน้าเงียบงัน
ลาร์ดวูล์ฟรีบวิ่งขึ้นบันได ภายในใจหวังว่าโรงงานของตนจะปลอดภัย
‘ขอให้ไม่มีใครตาย’
แรงปะทะซึ่งเกิดจากอิฟริตและทราวก้าส่งผลกระทบไปทั่วทวีป ไม่เว้นแม้กระทั่งถนนหนทางในจักรวรรดิโอเวอร์เกียร์
เมื่อตระหนักว่ากริดกำลังเป็นกังวล เบ็ตตี้จับมือชายหนุ่มและเดินนำทางไป
“ไว้ค่อยคุยกับท่านฮายาเตะทีหลัง ตอนนี้มาที่ห้องของข้าก่อน”
ท่ามกลางซากบันไดพังถล่ม เทคนิคการเดินขึ้นด้านบนของเบ็ตตี้ค่อนข้างแปลกประหลาด
ในทุกย่างก้าว หัวกะโหลกจะลอยอยู่กลางอากาศและทำหน้าที่แทนขั้นบันได
‘มีวิธีใช้งานอันเดดนับไม่ถ้วนสินะ’
“กินอะไรหรือยัง”
“กินแล้ว ฉันพกขนมปังติดตัวตลอด”
“ผักและเนื้อสัตว์ล่ะ”
“มีหลายครั้งที่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยให้มีเวลานั่งกินนานนัก…”
“เจ้าต้องกินให้ครบห้าหมู่ จะได้ตัวสูงและแข็งแรง”
“…แต่ฉันเป็นผู้ใหญ่แล้ว”
“ร่างกายคุณย่าเองก็ไม่ต่างอะไรจากศพ ฟังเข้าหูซ้ายแล้วปล่อยออกหูขวาไปเลย!”
บีบันตะโกนขึ้นมาจากชั้นล่าง ท่าทางการจับไม้กวาดคล้ายกับคนหมดอาลัยตายอยาก
“ทำความสะอาดให้เรียบร้อยด้วย… พยายามเข้าล่ะ”
“ทำความสะอาด? โฮ่! หมายถึงการชำระล้างใช่ไหม? แน่นอนอยู่แล้ว! มันเป็นงานศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าทำได้เพียงคนเดียว”
ถึงจุดที่บีบันต้องสะกดจิตหลอกตัวเอง
ผ่านไปสักพัก กริดซึ่งค่อนข้างเห็นใจบีบัน เดินมาถึงห้องของเบ็ตตี้
เป็นห้องซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นฉุนของยาประหลาด ซากสัตว์ และซากอสูร
“รอสักครู่”
เบ็ตตี้หายตัวไปที่ใดสักแห่ง ทิ้งกริดไว้ตามลำพัง
“กินซะ”
ผ่านไปไม่นาน เธอกลับมาพร้อมของกินจำนวนมาก
เป็นอาหารมื้อใหญ่ซึ่งปรุงจากวัตถุดิบหายาก ยังดูอุ่นๆ คล้ายกับเพิ่งทำเสร็จ
‘ไม่มีทางทำเสร็จในสามนาทีแน่… เป็นอาหารที่พ่อครัวเตรียมไว้ล่วงหน้า?’
ที่นี่คือสถานที่ซึ่งมีผู้คนพักอาศัย
ย่อมต้องมีระบบในการเตรียมอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และห้องพัก
แต่กริดก็ไม่คาดคิดก่อนว่าที่นี่จะมีพ่อครัว ไม่ใช่ว่าหอแห่งปัญญาต้องถูกปิดเป็นความลับหรอกหรือ?
“เป็นอาหารที่อเบลลิโอ้วาดขึ้น ข้ากินไม่ได้ แต่ทุกคนบอกว่าอร่อย”
“วาด… ขึ้นมา?”
ลำดับเจ็ด อเบลลิโอ้
ในอดีต เมื่อครั้งกริดไต่หอคอยเป็นหนแรก อเบลลิโอ้สยบกริดด้วยการทำให้ภาพวาดกลายเป็นจริง แถมยังยกผลงานศิลป์บางชิ้นให้กริด
‘เพิ่งรู้ว่าสร้างอาหารจากวาดได้ด้วย จิตรกรทำได้ทุกอย่างเลยหรือ’
กริดเองก็เป็นช่างตีเหล็ก
และมันก็ทำได้เกือบทุกอย่างเช่นกัน
ไม่มีอาชีพใดด้อยไปกว่าใคร
ขณะชื่นชม กริดตักอาหารใส่ปากด้วยท่าทีกึ่งลังเล
เมื่อความอร่อยระเบิดไปทั่วช่องปาก ชายหนุ่มพบว่าอาหารปราศจากกลิ่นสีอย่างที่เคยกังวล
“อร่อยมาก”
อร่อยจริงๆ
แม้แต่กลิ่นของยาและซากสัตว์ภายในห้องก็มิอาจด้อยค่าอาหาร
“กินเข้าไปเยอะๆ”
ใบหน้าเบ็ตตี้ยังคงไร้อารมณ์ น้ำเสียงแหบแห้ง
แต่ความจริงใจและอ่อนโยนถูกถ่ายทอดมาถึงกริด
ชายหนุ่มไม่คิดปฏิเสธน้ำใจ มันรีบจัดการอาหารตรงหน้า
ผ่านไปสักพัก
“ข้าไม่มีทักษะใดที่จะสอนเจ้า”
หลังจากกริดกินอาหารจนหมด เบ็ตตี้เกริ่นเข้าประเด็น
แต่เนื้อหาฟังดูค่อนข้างประหลาด
‘…ไม่มีอะไรจะสอน?’
แล้วรางวัลภารกิจคืออะไร? อาหารมื้อนี้?
ขณะกริดกำลังฉงนและกระอักกระอ่วน
เบ็ตตี้อธิบาย
“ทักษะของหมอผีต้องใช้ค่า ‘พลังปกครอง’ ไม่เหมาะกับเจ้าซึ่งเป็นผู้ครอบครองมรดกของเบริอาเช่”
มรดกของเบริอาเช่
หมายถึงโครงกระดูกโอเวอร์เกียร์
ทันทีที่เรียนทักษะของหมอผี เราจะได้รับค่าสถานะ ‘ปกครอง’ … หลังจากนั้น การอัญเชิญโครงกระดูกโอเวอร์เกียร์ก็จะสูญเสียค่าพลังปกครองเหมือนกับการอัญเชิญอันเดดตามปรกติ ซึ่งนั่นทำให้เราไม่เหลือค่าปกครองพอที่จะอัญเชิญอันเดดตนอื่น?
กำลังจะบอกแบบนี้ใช่ไหม?
ภาษากายของเบ็ตตี้สามารถตีความได้ว่า ให้กริดแปลความหมายเอาเอง
“สิ่งที่ข้าจะมอบให้ก็คือสมญานามดยุค เป็นการส่งต่อสมญานามของข้าเอง”
“…!”
ดวงตากริดพลันเบิกกว้าง
ดยุคแห่งปัญญาของบราฮัม ดยุคแห่งการสยบของมุลเลอร์ ดยุคแห่งไฟและดยุคแห่งคุณธรรมของกริด
สมญานามดยุคล้วนทรงพลังและพิเศษ
หนึ่งในท่าไม้ตายของกริด ‘สายฝนยุทธภัณฑ์’ คือส่วนหนึ่งของสมญานามดยุคแห่งคุณธรรม
แต่ในวินาทีนี้ มันกำลังจะได้กับสมญานามดยุคใหม่
ดยุคที่สาม
เป็นรางวัลที่เหนือความคาดหมายอย่างมาก
ตึกตัก ตึกตัก!
‘…เดี๋ยวนะ?’
หัวใจกริดซึ่งเริ่มเต้นแรง กลับไปหยุดนิ่งราวกับไม่มีชีวิต
แต่สิ่งที่ชายหนุ่มปรารถนาในตอนนี้ไม่ใช่การทำ CPR หากแต่เป็นคำพูดที่ช่วยคลายความกังวลซึ่งผุดขึ้นอย่างกะทันหัน
“หวังว่า… จะไม่ใช่ดยุคแห่งความตาย”
ขอให้ไม่ไร้ประโยชน์
ขอให้เป็นสมญานามดยุคเท่ๆ
ดยุคแห่งคุณธรรมกริดกำลังสวดวิงวอนจากก้นบึ้ง
______________
ปัจจุบันแปลถึงตอน 2,059 ★ ★ จบบริบูรณ์ ★ ★
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ #BJKNovel #BJK_Novel #Overgeared_แปลไทย #Overgeared #นิยาย_เกมออนไลน์ #พระเอกเทพ
555
ReplyDelete