จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,569



“ดยุคแห่งการขยาย”


เบ็ตตี้คือมนุษย์คนแรกที่ได้เป็นผู้ทำพันธสัญญากับบาเอล


กล่าวคือ พรสวรรค์ของเธอโดดเด่นจนไปสะดุดตาบาเอล


เบ็ตตี้มิอาจปฏิเสธมือของบาเอลที่ยื่นเข้าหาได้


บางที นี่อาจเป็นพรสวรรค์ที่ต้องแลกมากับการมีชะตากรรมอันแปลกประหลาด


แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ความยอดเยี่ยมของเธอยังคงโดดเด่นจวบจนปัจจุบัน


สภาหอคอย


แม้จะถูกบาเอลทอดทิ้ง แต่เบ็ตตี้ก็ยังเป็นหนึ่งในสภาหอคอยที่แข็งแกร่งที่สุด


และหนึ่งในแหล่งกำเนิดของความยอดเยี่ยมของเธอก็คือ


“เวทมนตร์และทักษะของดยุคแห่งการขยาย จะแข็งแกร่งเป็นสองเท่าจากทฤษฎีเดิม”


เพิ่มพลังให้กับทักษะ


พลังแห่งการขยาย


เป็นปริศนาที่ถูกสร้างขึ้นจากความรู้และความเข้าใจของเบ็ตตี้ สตรีผู้มองโลกแตกต่างจากคนอื่น แม้จะได้เห็นสูตรเวทมนตร์แบบเดียวกัน


‘แตกต่างจากเวทมนตร์ยกระดับของบราฮัม’


เวทมนตร์ยกระดับของบราฮัม จะทำให้ประสิทธิภาพของ ‘เวทมนตร์’ เพิ่มขึ้นสามเท่า แต่ดยุคแห่งการขยายจะเพิ่มพลังให้กับ ‘ทักษะทุกชนิด’ เป็นสองเท่า


แม้จะมีความหลากหลายมากกว่า แต่ก็มีเพดานขีดจำกัดต่ำ แถมยังมีผลข้างเคียง


ไม่ใช่เพียงพลังที่เพิ่มขึ้น แต่ระยะหน่วงก็เพิ่มเป็นสองเท่าเช่นกัน


หากจะพูดกับตามตรง นี่คือเครื่องพิสูจน์ว่าพรสวรรค์ของเบ็ตตี้ยังด้อยกว่าบราฮัมพอสมควร


‘ไม่ใช่ว่าเบ็ตตี้แย่ เพียงแต่บราฮัมยอดเยี่ยมเกินไป’


หรือว่าความหยิ่งผยองของบราฮัม จะไม่ถูกบดขยี้ไปจนวันตาย?


มูมัดอาจเป็นเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์ ที่ทำให้บราฮัมเกิดความรู้สึกด้อยกว่า


‘มูมัด… เขาเองก็คงกำลังเตร็ดเตร่อยู่ในแม่น้ำแห่งการคืนชีพ’


หลังจากได้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับนรก บราฮัมพูดน้อยลงไปถนัดตา


มูมัด


ช่างน่าเสียดาย ช่วงชีวิตแสนสั้นของชายคนนี้ยังห่างไกลจากการมีความสุข


เป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่อายุยังน้อย ในภายหลังยังถูกทรยศโดยอาจารย์เพียงคนเดียวที่ตนไว้ใจ


หลังจากตายไปแล้วก็ยังถูกทำเป็นอันเดดจนดวงวิญญาณเผชิญความทนทุกข์ และแม้ว่าจะได้รับอิสระในท้ายที่สุด แต่มูมัดก็ยังไม่ได้หลับพักผ่อนอย่างแท้จริงอยู่ดี


เพราะมนุษย์บนโลกนี้ไม่มีสิทธิ์ได้หลับพักผ่อนหลังความตาย


เป็นระเบียบของโลกแห่งความตายที่แม้แต่บราฮัมก็คาดไม่ถึง


คำสาปซึ่งเกิดจากนรกอันบิดเบี้ยวโดยฝีมือบาเอล ส่งผลให้มูมัดยังคงไม่ได้รับความสุขในวาระสุดท้ายของชีวิต


บราฮัมเดือดดาลมาก


[ท่านได้รับสมญานาม <ดยุคแห่งการขยาย> เป็นรางวัลภารกิจ]


<ดยุคแห่งการขยาย>

เมื่อเปิดใช้งาน พลังของเวทมนตร์และทักษะจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า

แต่ระยะหน่วงและทรัพยากรที่ใช้ก็จะเพิ่มเป็นสองเท่าเช่นกัน

★ คุณสมบัติลดระยะหน่วงจากไอเท็มและทักษะจะแสดงผลเพียง 65%


สมญานามใหม่ที่เรียบง่ายและทรงพลัง


น่าเสียดายที่อิทธิพลจาก ‘บัญชาแห่งเทพ’ และ ‘เสมือนเทพ’ ก็จะลดลงด้วย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ดยุคแห่งการขยายคือสมญานามที่เหมาะแก่การปิดบัญชีในพริบตาอย่างมาก


พลังซึ่งช่วยให้มีโอกาสดับลมหายใจศัตรูในการโจมตีเพียงท่าเดียว ไม่ต้องบรรยายสรรพคุณก็พอจะเดาออกว่ามีประโยชน์ในสถานการณ์ใด


กริดซึ่งสัมผัสได้ว่าตนมีไพ่ตายเพิ่มขึ้น ประกาศกร้าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


“ฉันจะฆ่าบาเอลด้วยพลังนี้อย่างแน่นอน”


อย่างน้อยก็ในวินาทีนี้ คำประกาศของชายหนุ่มได้ถูกกล่าวออกมาต่อหน้าเบ็ตตี้


ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เมื่อได้มีโอกาสพูดคุยกับเบ็ตตี้มากขึ้น กริดสังเกตเห็น


ถึงความจริงที่ว่า ดวงตากลมโตของเธอ มีได้ส่องประกายอย่างที่ควรจะเป็น


ดูคล้ายกับดวงตาของปลาเน่าก้นตู้ — ดวงตาที่ตายไปแล้ว


เฉกเช่นร่างกายภายใต้ชุดคลุม


“อา… สู้เค้านะ”


ริมฝีปากเบ็ตตี้กระตุกแผ่วเบาขณะตอบ


คล้ายกับเธอพยายามยิ้ม


แต่สีหน้าแววตาดูเหมือนกับคนกำลังจะร้องไห้มากกว่า


หรือว่าเธอลืมวิธียิ้มไปแล้ว?


กริดจับมือที่สั่นเทาของเบ็ตตี้ไว้แนบแน่น


“ฉันสัญญาว่าจะพยายามอย่างหนัก ได้โปรดคอยให้กำลังใจด้วย”


***


มังกร


ตัวตนสัมบูรณ์ที่นำมาซึ่งภัยพิบัติ ไม่เคยมีการบอกกล่าวล่วงหน้า


ไม่มีสิ่งใดที่มนุษย์ปรารถนาจากมังกร ตัวตนซึ่งจ้องมองโลกด้วยสายตาดูแคลน


เป็นเพียงภัยพิบัติเดินได้ ไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้


ตัวเลือกที่ดีที่สุดของมนุษย์คือการ ‘เลี่ยงการเผชิญหน้า’


ใครหลายคนยินดีที่จะศิโรราบต่อมังกร น่าเสียดายที่พวกมันไม่เคยเปิดโอกาสให้ถวายตัวรับใช้


แต่แล้วในวันนี้


“…”


ฮายาเตะได้ประจักษ์


ภาพที่กริดกำลังสื่อสารกับมังกร


ฉากดังกล่าวปฏิเสธช่วงชีวิตที่ผ่านมาของฮายาเตะโดยสิ้นเชิง


มังกรเป็นสัตว์ที่เข้าใจได้ยาก และมนุษย์คงไม่มีวันทำความเข้าใจได้


ควรมองเป็นภัยธรรมชาติเดินได้และคอยหลีกเลี่ยงจึงจะเหมาะสมกว่า


ตรรกะซึ่งหอแห่งปัญญาบ่มเพาะจากประสบการณ์อันยาวนานนับพันปี พังพินาศไม่เหลือชิ้นดี


อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่ความสิ้นหวัง แต่เป็นความสุข


“…หวังว่าจะใช่นะ”


ตัวตนที่สามารถสื่อสารกับมังกร


ขณะนึกถึงกริด รอยยิ้มผุดขึ้นตรงมุมปากฮายาเตะ


***


เบ็ตตี้อธิบายว่า เธอโอนถ่ายสมญานามดยุคแห่งการขยายมาให้กริด


ทว่า สมญานามดยุคแห่งการขยายคือพลังที่เธอสร้างขึ้นจากประสบการณ์


การโอนถ่ายสมญานาม มิได้แปลว่าต้องสูญเสียพลังนั้นไป


เป็นข่าวดีที่ชวนให้โล่งใจ


กริดซึ่งโล่งอกเมื่อได้ทราบความจริง อยู่สนทนากับเบ็ตตี้เป็นเวลานาน


หัวข้อสนทนาคือแอ็กนัส


กริดสงสัยว่า ในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับแอ็กนัส ชายผู้มีชะตากรรมคล้ายคลึงเบ็ตตี้


“ทุกคนที่ทำพันธสัญญากับบาเอลจะต้องจ่ายค่าตอบแทนเป็นดวงวิญญาณ แต่นั่นคือในกรณีหลังความตาย หากพันธสัญญาจะถูกละเมิดในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ฉันคิดว่าบาเอลไม่มีสิทธิ์ทวงดวงวิญญาณ”


อย่างไรก็ดี แม้บาเอลจะเป็นฝ่ายยกเลิกสัญญา เป็นผู้ทำลายพันธะ และต้องเป็นฝ่ายชดเชย


แต่ต้องไม่ลืมว่า บาเอลคือต้นตอแห่งความชั่วร้ายทั้งปวง


มันเย้ยหยันและหมางเมินการชดเชยพันธสัญญา


แตกต่างจากอสูรตนอื่น บาเอลไม่ถูกผูกมัดด้วยธรรมชาติของพันธสัญญา เนื่องจากมีระดับตัวตนสูงกว่าระดับพันธสัญญา


“เนื่องจากไม่มีสิทธิ์ทวงคืนดวงวิญญาณ มันจึงใช้พลังช่วงชิงไป แต่วิญญาณมนุษย์มิใช่สิ่งที่หลุดออกจากร่างได้ง่าย ร่างกายจึงถูกทำลายก่อนที่วิญญาณจะออกจากร่าง”


“…”


เบ็ตตี้ชี้ไปยังหน้าอกของเธอ


ราวกับเป็นการเตือนความจำ ถึงสภาพร่างกายที่เธอเคยแสดงให้เห็น


“ในทางชีววิทยา พวกเราตายไปแล้ว”


“หรือหมายถึง… กลายเป็นลิช?”


“แตกต่างกันเล็กน้อย สิ่งที่พยุงลิชเอาไว้คือเวทมนตร์และจิตใต้สำนึก แต่สำหรับข้า ร่างกายถูกพยุงไว้ด้วยดวงวิญญาณแบบย้อนกลับ”


“ดวงวิญญาณแบบย้อนกลับ…?”


“ดวงวิญญาณของข้าถูกทำให้เบาบางลงหลังจากบาเอลฝืนช่วงชิงไป ดวงวิญญาณที่บางเบาลงจึงล่องลอยอย่างไร้ทิศทางเพื่อค้นหาเสถียรภาพให้ตัวเอง ตราบใดที่สภาพนี้ยังดำรงอยู่ ข้าก็ไม่ใช่ทั้งคนเป็นและคนตาย ไม่มีวันสูญสลาย”


“แล้วถ้าวิญญาณคืนเสถียรภาพ?”


“นั่นจะไม่เกิดขึ้น ดวงวิญญาณที่ร่างกายจดจำได้ แตกต่างจากดวงวิญญาณในปัจจุบัน มันจึงไม่มีทางเกิดเสถียรภาพ”


“…”


สรุปคือ เธอจะไม่มีวันตาย


แต่นี่เป็นคำสาปมากกว่าพร


ชีวิตอันเป็นนิรันดร์ด้วยร่างกายเย็นชืดและเกือบจะเหลือแต่กระดูก ร่างกายที่ไม่ใช่ทั้งคนเป็นและคนตาย ไม่มีทางมีความสุข


‘…แต่แอ็กนัสเป็นผู้เล่น’


แม้กริดจะเห็นใจเบ็ตตี้ แต่มันก็ไม่กล้าประมาทแอ็กนัส


‘ถ้าผู้เล่นได้รับสิทธิ์ให้มีร่างกายที่ ‘ไม่มีวันตาย’ ล่ะก็…’


ตัวอย่างที่ชัดเจนและสุดโต่งที่สุดก็คือ การไม่มี ‘บทลงโทษ’ หลังจากความตาย


นั่นเป็นข้อได้เปรียบที่น่าอิจฉา


แต่แน่นอน หากเทียบกับสมัยยังเป็นผู้ทำพันธสัญญากับบาเอล สิทธิพิเศษตรงนี้คงลดลงจากเดิมพอสมควร


แอ็กนัสสามารถไต่เต้าไปถึงแรงเกอร์หลักเดียวได้ก่อนที่จะกลายมาเป็นผู้ทำพันธสัญญากับบาเอล แถมนั่นยังเป็นร่างหมาบ้า


เมื่อพิจารณาถึงพรสวรรค์ส่วนตัว ศักยภาพที่ยังหลงเหลืออยู่ของมัน ก็เพียงพอที่จะนิยามได้ว่าน่าหวาดหวั่น


‘แต่ว่า… คงยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นไปอีกสักพัก’


สาเหตุที่กิลด์โอเวอร์เกียร์คอยกดแอ็กนัสเอาไว้ เป็นเพราะมันคือผู้ทำพันธสัญญากับบาเอล


แต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกแล้ว


แอ็กนัสได้รับอิสระอย่างเต็มที่


สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง เลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง


แทนที่จะตามไปพะวง กริดเลือกที่จะเชื่อใจผู้ชายคนนี้อีกสักครั้ง


‘เพราะอย่างน้อย ชายคนนี้ก็เคยช่วยชีวิตไอรีนกับลอร์ด’


กริดยังไม่ลืมหนี้บุญคุณที่เกิดขึ้นในวาติกัน


***


หลังจากแยกกับเบ็ตตี้


ฮายาเตะเรียกกริดเข้าพบและสนทนากันยืดยาว


ชายหนุ่มเล่าทุกสิ่งที่ได้ประสบบนทวีปตะวันออก


ฮายาเตะยิ้มไม่หุบตลอดการพูดคุย สายตาที่จ้องกริดเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน ราวกับกำลังจ้องมองลูกชายหัวแก้วหัวแหวน


‘เขาชื่นชอบเราขนาดนี้เชียว?’


จริงอยู่ หัวแถวกับหอแห่งปัญญาอยู่ในสถานะต่างฝ่ายต่างพึ่งพากัน


แต่ดูเหมือนว่ากริดจะได้รับความชื่นชอบมากกว่าที่ควรจะเป็น


ไม่เพียงจะเป็นฝ่ายถูกช่วยไว้มากกว่า แต่ไมตรีอันเอ่อล้นจากอีกฝ่ายก็ยังทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วน


ทว่า กริดไม่เคยทราบ


นักล่ามังกรฮายาเตะฝันร้ายในทุกวัน


นั่นเพราะมันทราบดี สักวันโลก ‘จะ’ ถูกทำลาย


แต่ในวินาทีนี้ มันมีความเชื่อว่าฝันร้ายดังกล่าวกำลังจะสิ้นสุดลง


ทั้งหมดต้องขอบคุณกริด


กริดถือเป็นผู้มีพระคุณของฮายาเตะ


“ถ้าได้ถือดาบคู่ล่ะก็…”


กริดมิได้ปิดบังเรื่องราว


มันเชื่อว่าหากได้ถือดาบสองเล่มด้วยมือทั้งสองข้าง ตนสามารถสั่งสอนมีร์ได้


ที่กล่าวออกมาเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะชายหนุ่มเชื่ออย่างสุดหัวใจว่าตนเหนือกว่ามีร์ แต่เป็นเพราะมันอับอาย


เรื่องราวการได้เผชิญหน้ากับอิฟริตและเป็นฝ่ายสั่นกลัว


เรื่องราวเมื่อครั้งฟ้าดินพลิกกลับด้านด้วยฝีมือสามซา


เรื่องราวที่มีร์เป็นฝ่ายถือครองความได้เปรียบตลอดการต่อสู้


ยิ่งเล่าออกไป กริดก็ยิ่งรู้สึกพ่ายแพ้และอับอาย


เมื่อสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง กริดเสริมการบลัฟลงไปเล็กน้อย


ฮายาเตะแสดงความสนใจใจวิชาดาบคู่


“วิชาดาบคู่คือทักษะที่แข็งแกร่งอย่างไร้ข้อกังขา แต่จุดอ่อนก็ชัดเจนมากเช่นกัน จริงอยู่ที่ว่า หากชำนาญมากพอ ผู้ใช้งานดาบคู่สามารถปลดปล่อยหลายวิชาออกมาพร้อมกันได้ แต่ประสิทธิภาพย่อมต้องลดต่ำลง”


ต้องไม่ลืมว่า อดีตอริยดาบและฮายาเตะก็มิได้ใช้วิชาดาบคู่


นั่นเพราะการใช้สองมือบังคับดาบเล่มเดียว ย่อมสร้างประสิทธิผลได้มากกว่า


สามารถใช้วิชาดาบเชิงลึก สามารถพลิกแพลงทิศทางการวาดดาบได้อิสระ


กริดเห็นด้วย


“นั่นก็จริง แต่ก็อย่างที่ทราบ ฉันไม่ได้มีพรสวรรค์ด้านเชิงดาบ”


วิชาดาบของกริดทั้งรวดเร็วและทรงพลัง


แต่ก็แค่นั้น


ปราศจากเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายจำพวก การทำให้ศัตรูสับสนด้วยการสลับมือจับดาบ รวมไปถึงการกำด้ามดาบกลับด้าน


สิ่งเหล่านั้นจำเป็นต้องพึ่งพาพรสวรรค์และการฝึกฝนอย่างหนัก


เป็นเหตุให้กริดฝักใฝ่ดาบคู่มากกว่า


และยังเป็นท่าจับดาบที่สร้างพลังทำลายล้างสูงสุดในทางทฤษฎี


อริยดาบบีบันตระหนักถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นอย่างดี


“จริงอยู่ การฝึกฝนเพื่อเสริมจุดแข็งให้ตัวเองคือสิ่งที่ควรกระทำ แต่การฝึกฝนเพื่อกลบจุดอ่อนก็สำคัญไม่แพ้กัน ในกรณีของข้า ผลลัพธ์ของมันยิ่งใหญ่กว่าที่เคยจินตนาการไว้ในตอนแรก”


“ทำความสะอาดเสร็จแล้วหรือ?”


กริดทักทายต้อนรับบีบัน


ไม่ใช่การทำความสะอาด การชำระล้างต่างหาก…


บีบันบ่นอุบอิบ ก่อนจะวางไม้ถูพื้นลงและจับดาบ


“ข้าอยากทดสอบดาบคู่ของเจ้า”


บีบันต้องการทำลายความภูมิใจอันตื้นเขินของกริด


จุดประสงค์เพื่อให้กริดตระหนักถึงจุดอ่อนร้ายแรงของดาบคู่ และย้อนกลับไปเดินบนเส้นทางของดาบเดียวอีกครั้ง จะได้ไม่มัวเสียเวลาหลงทางนานไปกว่านี้


มันทราบถึงพรสวรรค์และพัฒนาการของกริดดีกว่าใคร


บีบันเชื่อในตัวกริด และมั่นใจว่าอีกฝ่ายสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดได้หากฝึกหนักเพียงพอ


มันจึงเลือกใช้วิธีเดียวกับสัตว์ร้าย นั่นคือการผลักลูกของตัวเองไปยังริมหน้าผาเพื่อให้จนตรอก


“เป็นเกียรติอย่างยิ่ง”


กริดเองก็ต้องการทดสอบประสิทธิภาพของดาบคู่มานานแล้ว จึงตกปากรับคำทันที


“ย้ายสถานที่กันดีกว่า”


ฮายาเตะแนะนำ


สุขุม เยือกเย็น ฉลาด


ดวงตาของมนุษย์ชนชั้นสูงซึ่งมักสงบนิ่งตลอดเวลา กำลังส่องประกายอันหาได้ยาก


คล้ายกับกำลังสนใจผลลัพธ์การทดสอบของชายทั้งสอง


“ข้าคิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องย้าย… แต่ในเมื่อเจ้าของห้องต้องการเช่นนั้น ทางนี้ก็ไม่ขัดข้อง”


กิริยาท่าทางการพูดพลางยักไหล่ของบีบัน แสดงให้เห็นถึงความหยิ่งผยองเสียเต็มประดา


คล้ายกับมั่นใจว่าชัยชนะจะต้องตกเป็นของผู้เข้าถึงแก่นแท้ของวิชาดาบ มากกว่าผู้ถือครองพลังทำลาย


ก็สมควรที่จะมั่นใจ


มันคืออริยดาบ


ยิ่งไปกว่านั้น กริดยังถูกข้อจำกัดของดาบคู่เหนี่ยวรั้ง


บีบันมั่นใจในชัยชนะอันเป็นสัจธรรมของตน


“ในฐานะสักขีพยาน ตัวข้า ฮายาเตะ จะเป็นผู้บันทึกผลแพ้ชนะของการประลองครั้งนี้”


ณ ด้านบนสุดของหอคอย


ฮายาเตะประกาศต่อหน้ากริดและบีบัน ซึ่งกำลังยืนประจันหน้ากันบนดาดฟ้าหอคอย


ขณะถือดาบกูเซลอยู่ในมือ บีบันหัวเราะ


“ไม่ต้องก็ได้กระมัง ถึงจะเป็นแค่การประลอง แต่ข้าไม่เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องบันทึกความพ่ายแพ้ของราชาโอเวอร์เกียร์… เข้ามาสิเจ้าหนู ข้าให้เริ่มก่อน”


“…ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เกรงใจล่ะนะ”


[ทักษะผสานไอเท็มทำการรวม <ดาบหนักกูเซล> และ <ดาบไร้รูป> เป็นหนึ่งเดียว]


[ทักษะผสานไอเท็มทำการรวม <ดาบมังกรเพลิง> และ <ดาบอัสนีฯ> เป็นหนึ่งเดียว]


[ทักษะ <ทิวทัศน์ขุนเขาและลำธาร> ทำการลบผลข้างเคียงจากการถืออาวุธคู่]


[สมญานาม <ดยุคแห่งการขยาย> ถูกเปิดใช้งาน]


จุดประสงค์ของกริดก็คือ การยืนยันพลังทำลายของดาบคู่


ไม่มีความคิดหรือความมั่นใจที่จะเอาชนะบีบัน และไม่ได้ต้องการจะทำเช่นนั้น


ชายหนุ่มจึงมุ่งไปข้างหน้าอย่างมิได้ยำเกรง


ท่ามกลางย่างก้าวอันลื่นไหล ดาบทั้งสองเล่มในสองมือ ถูกตวัดฟันด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี


ปราศจากการออมแรง


เพื่อมิให้ตัวเองนึกเสียดายภายหลัง กริดทุ่มทุกสิ่งทุกอย่างในการโจมตีนี้


ภายใต้ความคิดและการกระทำแสนเรียบง่าย ผลลัพธ์ของมันช่างน่าเหลือเชื่อ


เมื่อแรงสนับสนุนจากสมญานาม <ดยุคแห่งการขยาย> และทักษะ <ทิวทัศน์ขุนเขาและลำธาร> ถูกส่งไปยังท่ารำดาบผสานห้าชนิดทั้งสองรูปแบบซึ่งประกอบด้วย <คลื่นทำลายล้างมายาร่ายรำสังหาร> และ <สะพรั่งทำลายล้างสยบสังหาร>


“…!”


ฮายาเตะซึ่งดวงตาเบิกกว้าง รีบกางปราณดาบอนันต์ออก


เป็นการปกคลุมเวทีด้วยโลกจินตภาพของตน


จุดยืนของคนทั้งสามมิใช่ยอดหอคอยอีกต่อไป หากแต่เป็นห้วงมิติส่วนตัวของฮายาเตะ


บึ้มมมมมมม—!


ม่านปราณดาบของฮายาเตะบางส่วนถูกทำลายจากแรงปะทะ แม้จะสมานตัวได้ในพริบตา แต่ปราณดาบของกริดบางส่วนได้เล็ดลอดออกไปกระแทกกับยอดหอคอยจนสั่นสะเทือนไปทั้งอาคาร


นี่แค่พลังทางกายภาพ


เป็นพลังทำลายที่เหนือกว่าลมหายใจสุดท้ายซึ่งกูเซลพ่นออกมาก่อนตาย


“สุด…ยอด…”


ในท้ายที่สุด


“แฮ่ก…”


บีบันยกนิ้วโป้งให้


เป็นภาพอันน่าอนาถเมื่อเห็นว่า มันพยายามกล้ำกลืนเสียงครวญครางอย่างสุดความสามารถ ในสภาพเลือดไหลท่วมปากและจมูก


______________
ปัจจุบันแปลถึงตอน 2,059   ★ ★ จบบริบูรณ์  ★ ★
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ #BJKNovel #BJK_Novel #Overgeared_แปลไทย #Overgeared #นิยาย_เกมออนไลน์ #พระเอกเทพ

Comments

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00