จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,301
กระบี่แดงแตกสลายย่อมหมายถึง หัวใจแฮจินถูกทำลายโดยสมบูรณ์
หล่อนเชื่อว่าที่นี่เป็นเพียงโลกมายา จึงวางแผนเอาคืนบนโลกความจริง
แต่หลังจากประจักษ์พลังอันเหนือขีดจำกัดหนแล้วหนแล้ว เธอเริ่มเกิดความลังเลว่า ตนจะเอาชนะมนุษย์ผู้นี้ได้จริงหรือ
แฮจินเริ่มสูญเสียกะจิตกะใจในการจะต่อสู้
และนั่นย่อมส่งผลไปถึงตัวตนบนโลกความจริง
‘จบแล้วสินะ…’
เหล่ายังบันสวมคัด (หมวกสานปีกบาน)
ซือโหยวมองออกตั้งแต่ต้นว่า ยังบันที่ห้าอาวุโสชุบเลี้ยงและอยู่ระหว่างการพัฒนา ถูกผูกมัดด้วยข้อจำกัดหนึ่งจนส่งผลให้มิอาจเอาชนะมนุษย์ผู้นี้ได้
ในวินาทีที่พวกมันสัมผัสถึงหัวใจฟินิกซ์แดงลำดับ 9 ปริศนาการตายของฮันกยอลพลันกระจ่าง
ใช่แล้ว ผลลัพธ์ถูกกำหนดมาตั้งแต่ต้น
แต่เหตุผลที่ซือโหยวเกิดความหวังขึ้นมาครู่หนึ่ง เพราะแฮจินมีพัฒนามากกว่าที่เคยคิดไว้
การสลักจิตดาบลงบนโลกจินตภาพไม่ใช่เรื่องง่าย แฮจินต้องเคยเห็นเศษเสี้ยวของดาบจิตมาก่อน และนั่นคือหนึ่งในเบาะแสสำหรับการเป็น ‘ผู้สังหารเทพ’
แต่น่าเสียดาย ดาบจิตของแฮจินถูกทำลายก่อนจะได้ขัดเกลา
เธอยังบกพร่องเมื่อเทียบกับมนุษย์ที่เคยเข่นฆ่ายังบันไปแล้วจำนวนหนึ่ง
ผลการต่อสู้คงเปลี่ยนไป หากคนทั้งสองกลับมาดวลกันอีกครั้งในอีกสามหรือสี่ปีข้างหน้า
“ใครจะเป็นรายต่อไป”
พลังของอีกฝ่ายจะไปสิ้นสุดตรงไหน?
มนุษย์ผู้สามารถใช้ท่ารำดาบได้เก่งกาจ แถมยังเป็นวิชาที่ซือโหยวเคยถ่ายทอดให้แพ็กม่า
ยังบันที่เหลือเริ่มเกิดความสนใจ
“…”
“…”
ทว่า พวกมันที่เคยเหยียดหยันมนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์น่ารังเกียจ ยามนี้กลับทำเพียงยืนเงียบงัน
มิใช่เพราะสูญเสียกำลังใจต่อสู้หรือหมดอาลัยตายอยาก
เหล่ายังบันไม่เคยเคลือบแคลงในเรื่องที่ตนจะกลายเป็นเทพ
พวกมันทระนงตนและโอหังมากกว่าสิ่งมีชีวิตใดในโลก จึงไม่มีทางสั่นกลัวเมื่ออยู่ต่อหน้ามนุษย์
เพียงแต่ในตอนนี้ ยังบันเริ่มมองกริดเป็นของแสลง
“ต้องขอบใจแฮจิน… อาหารถูกปรุงพร้อมเสิร์ฟแล้ว”
ยังบัน ‘แซซอล’ ขยับร่างกายเล็กน้อยเพื่อส่งตัวเองมายืนบนดาดฟ้า
มันจ้องหน้ากริดพร้อมกับยิ้ม
“เจ้าก็แค่คุยข่ม”
จะบอกว่ามนุษย์ผู้นี้ยังมีไพ่ตายซ่อนอยู่?
ไม่มีทาง
สาวกแห่งซิกสำแดงทักษะมากมายเกินไปแล้ว
หากมนุษย์ต้องการโค่นแฮจิน พวกมันไม่มีทางออมมือเอาไว้แน่
ดังนั้น ทักษะที่อันตรายของเธอจึงเหลือไม่มาก
และเหนือสิ่งอื่นใด การใช้ทักษะย่อมมาพร้อมความสิ้นเปลืองทางทรัพยากร ไม่ว่าจะด้านร่างกายหรือจิตใจ ต้องใช้เวลาฟื้นฟูสักพัก ส่งผลให้สาวกแห่งซิกผู้นี้กำลังเต็มไปด้วยช่องว่าง
‘แค่คอยระวังวิชาดาบที่ฟันมังกรในการสอบแรกก็พอ’
เนื่องจากอีกฝ่ายยังเหลือท่าไม้ตายทรงพลังอีกหนึ่งชนิด การออกมาสู้คนที่สองจึงยังมีความเสี่ยง
ตามปรกติแล้ว การอาสาขึ้นมาสู้เป็นคนที่สามจะฉลาดกว่า
ทว่า ตัวเลือกปลอดภัยจะไร้ประโยชน์ทันที หากเหยื่อถูกงาบตัดหน้าไปเสียก่อน
“เจ้าแซซอลนั่น… พอเป็นเรื่องแบบนี้แล้วเร็วทุกที”
ยังบันคนที่เหลือล้วนมีชุดความคิดคล้ายกับแซซอล แต่เมื่อเห็นแซซอลออกตัว พวกมันทำได้เพียงส่ายหน้าอย่างผิดหวัง
แซซอลฉาบร่างตัวเองด้วยลมหายใจมังกรคราม
ประกายสายฟ้าแล่นผ่านรอบตัว ร่างกายเบาลงทันใด
เพียงพริบตา มันย่นระยะเข้าประชิดตัวกริด พร้อมกับดึงกระบี่ออกจากช่องว่างโดโปที่สะบัดพลิ้ว
ปลายกระบี่แหลมยืดยาวออก เกิดเป็นแสงตกค้างในจุดที่กริดกำลังยืน
แซซอลจินตนาการภาพน้ำพุโลหิตพวยพุ่งออกจากร่างกายศัตรู
ทว่า ความพิสดารพลันบังเกิด กริดปราศจากบาดแผลโดยสิ้นเชิง
ในวินาทีที่ชายหนุ่มเห็นแซซอลกระตุ้นลมหายใจมังกรคราม มันรีบเปิดใช้งาน <จิตวิญญาณเสือขาว> เพื่อเพิ่มค่าพลังป้องกันอย่างมหาศาล
แตกต่างจากแฮจินผู้มีพลังโจมตีหนักหน่วง กริดเชื่อว่าตนสามารถทนรับการโจมตีของยังบันตนอื่นไหว หากเปิดใช้งานจิตวิญญาณเสือขาวไปพร้อมสวมไอเท็มเกรดมิธคุณภาพสูง
‘คึ่ก… ยังกับฟันใส่ก้อนหิน’
แฮจินเปลี่ยนหล่อนให้กลายเป็นผ้าขี้ริ้วได้ยังไง?
แซซอลเริ่มกระวนกระวาย แต่ฝืนใจไม่แสดงออก
กระบี่อ่อนในมือถูกหมุนตวัดอย่างใจเย็น เป็นการหมุนตัวเพื่อให้เกิดช่องว่างระหว่างเกราะอกกับเกราะไหล่ของสาวกแห่งซิก
แต่ทันใดนั้น หนามหินลึกลับพลันพุ่งออกจากเกราะไหล่กริด เสียบทะลุร่างแซซอลเข้าอย่างจัง
ตัวตนของหนามหินดังกล่าวก็คือ เอฟเฟค ‘สะท้อน 60% ของความเสียหายที่ได้รับ’
แต่เนื่องจากกริดได้รับความเสียหายไม่มาก หนามหินจึงไม่ทำอันตรายสักเท่าไร
แซซอลเหยียดกระบี่อ่อนแทงใส่กริดโดยไม่ลังเล นับเป็นความแม่นยำและเยือกเย็นที่น่าชื่นชม
อย่างไรก็ตาม กริดไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว
เพราะผลของ <จิตวิญญาณเสือขาว> ยังคงอยู่
แม้จะถูกโจมตีใส่จุดอ่อน แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นก็ยังไม่เกินหนึ่งหมื่นหน่วย
หลังจากผ่านไปราวสองสามเพลงกระบี่ แซซอลตัดสินใจถอยหลังรักษาระยะห่าง พร้อมกับเผยสีหน้ากระวนกระวายชัดเจน
“นี่เจ้า… เป็นมนุษย์จริงหรือ”
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น การโจมตีระลอกเมื่อครู่ต้องสร้างบาดแผลฉกรรจ์ไปแล้ว ไม่เว้นแม้แต่ยังบันด้วยกัน นอกเสียจากจะลงทุนกระตุ้นลมหายใจเสือขาว
แต่มนุษย์ตรงหน้ากลับสลายการโจมตีจนแทบไม่มีผล
“…?!”
แซซอลที่ถอยหลังเพื่อหลบหนามหิน กำลังยืนฉงนด้วยสีหน้าประหลาดใจ
เนื่องจากบรรยากาศรอบตัวมนุษย์ตรงหน้าเริ่มแตกต่างไปจากเดิม
ทั้งจิตคุกคามและความน่าเกรงขาม มองผิวเผินแทบไม่ต่างจากห้าอาวุโส
อย่าบอกนะว่า… บารมีเทพ…
ขณะเดียวกัน กริดที่ไม่อยากเปลืองแรงมากนักเพราะยังต้องดวลกับยังบันอีกหลายตน ตัดสินใจปิดฉากแซซอลให้เร็วที่สุด
‘เสมือนเทพ · ผสานไอเท็ม’
ดาบอัสนีฯ ลอยออกจากช่องสัมภาระและหลอมรวมกับดาบมังกรเพลิง
> หึหึ… เจ้านายช่างยอดเยี่ยม
อีโก้ของดาบมังกรเพลิงกำลังตื่นเต้นที่ตัวมันถูกเสริมให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
เป็นการเปลี่ยนแปลงที่แม้แต่ยังบันก็มิอาจสัมผัสถึง
‘น…นั่นมันอะไร! ภัยคุกคามระดับนี้…’
ดาบยาวที่มีเกลียวเพลิงสีแดงและดำม้วนรอบ
การรวมตัวของสุดยอดศาสตราได้ก่อให้เกิดพลังชนิดใหม่ที่แม้แต่กริดเองก็คาดไม่ถึง
“ร่ายรำ”
“…!”
“…!”
“โฮ่…”
ปราณดาบปริมาณมหาศาลถูกปลดปล่อยในพริบตา
ห้วงมิติโดยรอบถูกเชือดเฉือนฉีกขาด
แรงระเบิดก่อกำเนิดเปลวไฟขนาดมหึมา จุดแล้วจุดเล่าลุกลามเป็นวงกว้าง
ฉากตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับวันสิ้นโลก
เรือใหญ่หายไปกว่าครึ่งลำ
แซซอลพยายามดิ้นรน และรอดมาได้อย่างหวุดหวิดด้วยการกระตุ้นลมหายใจเสือขาว
แต่ปัญหายังไม่จบ
ตามปรกติแล้ว นอกจากลมหายใจเสือขาวจะช่วยปกป้องการโจมตีที่ถึงแก่ความตาย ยังจะช่วยฟื้นฟูบาดแผลให้หายกลับเป็นปรกติ
ทว่า แผลของแซซอลกลับไม่สมานตัว
นี่คือ ‘คำสาป’ ของหนามหิน ส่งผลให้เหยื่อไม่สามารถฟื้นฟูร่างกายได้นานสามวินาที
หงึกหงึก
แซซอลเม้มปากสนิท ร่างกายสั่นเทาราวกับต้นหลิวต้องลม
ความรู้สึกหมดสิ้นหนทางกำลังถาโถมจิตใจเป็นหนแรกในชีวิต
‘ไม่มีทางเอาชนะได้เลย…’
ดวงตาสั่นเทาของแซซอลกำลังจ้องดาบในมือกริด
ใบดาบกำลังลุกโชติช่วงด้วยบรรยากาศราวกับจะแผดเผาโลกทั้งใบ
ใครจะไปรับมือกับของแบบนี้ได้?
ใช่แล้ว ไม่มีทางเลย
กึก
กริดเริ่มย่างกราย
“ข…ข้าแพ้แล้ว!”
แซซอลถอยหลังสี่ก้าวจนมาถึงขอบดาดฟ้าซากเรือ
จากนั้นก็ตะโกนอีกครั้ง
“ข้ายอมแพ้!”
กริดเบือนสายตาออกจากแซซอลทันที
มันอยากรีบเผชิญหน้ากับศัตรูรายต่อไปก่อนที่ผลของบัฟผสานไอเท็มจะหมดลง
“ใครเป็นรายต่อไป”
กริดยังเหลือไพ่ตายอีกมาก
ไม่ว่าจะพลังของสี่เทพผู้พิทักษ์ เช่น <จิตวิญญาณเสือขาวห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงลุกโชน> ที่ใช้ระยะหน่วงแยกกับ <จิตวิญญาณเสือขาว> ธรรมดา
อีกทั้งยังมีวิชาดาบผสานห้าชนิด พลังจอมอสูรในอักขระ เวทมนตร์ของบราฮัม หัตถ์เทวะ และทักษะอีกมากที่แฝงมากับไอเท็ม
ตราบเท่าที่ค่าเรี่ยวแรงยังไม่หมด กริดมั่นใจว่าตนสามารถสังหารยังบันได้อีกสองสามรายเป็นอย่างน้อย
ทว่า ไม่มียังบันตนใดก้าวเท้าออกมา
พวกมันไม่หลงเหลืออากัปกิริยาจองหองอีกต่อไป
แทนที่จะก้าวออกมาด้วยตัวเอง หลายคนเลือกจะถอยหลังและกดดันให้คนอื่นออกไปแทน
ทักษะผสานไอเท็มทรงพลังเกินไป
ในวินาทีที่วิทยาการด้านอาวุธถูกพัฒนาจนถึงขีดสุด เพียงการมีอยู่ของมันก็มากพอจะคุกคามสิ่งมีชีวิตระดับสูง
ไอเท็มของกริดกำลังแผ่อิทธิพลดังกล่าว
กริ๊ง~
“ไม่มีผู้ท้าชิงแล้วใช่ไหม”
ซือโหยวตั้งคำถาม แต่ทุกคนเงียบ
ยังบันโง่เขลาตนหนึ่งพยายามรักษาหน้า
“ข้าหลงลืมไปชั่วขณะว่าหล่อนเป็นถึงสาวกแห่งซิก ย่อมต้องมิใช่มนุษย์ธรรมดาอยู่แล้ว! หากท่านมอบโอกาสให้ข้าได้เผชิญหน้ากับหล่อนในอนาคตล่ะก็ ข้ามั่นใจว่า…!”
ยังไม่ทันจะกล่าวจบ มันต้องชะงักคำพูด
เนื่องจากใบหน้าที่เคยไร้อารมณ์ของซือโหยว พลันบิดเบี้ยวราวกับปีศาจ
“อะ… อะ…”
โทสะของเทพสงครามย่อมน่าพรั่นพรึงยิ่งกว่าเทพตนใด
ยังบันที่สัมผัสถึงจิตสังหารท่วมท้น ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหุบปากให้สนิท
ยังบันตนอื่นก็ไม่ต่างกัน ร่างกายเปียกโชกไปด้วยเหยื่อเย็นเม็ดใหญ่
อย่างไรก็ตาม ซือโหยวทำเพียงยืนจ้อง มิได้มอบบทลงโทษแก่ยังบัน
แต่ถึงอย่างนั้นก็มิได้ทำให้เหล่ายังบันรู้สึกดีขึ้น ประสบการณ์เมื่อครู่สร้างบาดแผลทางใจรุนแรงยิ่งกว่าการเฉียดใกล้ความตาย
“อย่าได้เข้าใจผิดไป”
กริ๊ง~
“คนผู้นี้เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา หาใช่สาวกแห่งซิก”
“…!?”
“…!?”
หลักฐานที่ชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งใดก็คือ มนุษย์ผู้สามารถใช้พลังของทาเร็น ย่อมไม่มีทางเป็นสาวกแห่งซิกไปได้
ในทางกลับกัน ทาเร็นที่ถูกผนึกในห้วงความมืดมิด ย่อมต้องไม่มีสาวก
มนุษย์ผู้นี้มิได้แข็งแกร่งจากพลังของเจ็ดมาร หากแต่กลายเป็นเหนือมนุษย์ได้ด้วยตัวเอง…
สายตาของเหล่ายังบันเริ่มแปรเปลี่ยน
เป็นสีหน้าเดียวกับแฮจินและแซซอลที่เพิ่งพ่ายแพ้
ข้อความระบบปรากฏขึ้นตรงมุมสายตากริด
[ห้าอาวุโสเฝ้ามองท่านที่ยืนกำลังเด่นสง่าท่ามกลางโลกจินตภาพของซือโหยว]
[เหล่ายังบันต่างหวาดกลัวท่าน]
[ภรรยาของท่าน ‘ไอรีน’ มีชื่อเสียงภายในอาณาจักรฮวานถึงค่าสูงสุด]
[เหล่ายังบันไม่ต้องการเป็นศัตรูกับภรรยาของท่าน ตัวตนที่อ่อนแอจะทึ่งในความแข็งแกร่งและเคารพยำเกรงไอรีน]
[ห้าอาวุโสให้ความสนใจภรรยาของท่านอย่างมาก]
[ภรรยาของท่าน ‘ไอรีน’ ได้รับสมญานาม <พลเมืองอาณาจักรฮวาน>]
“…ไม่เลว”
ย้อนกลับไปสมัยที่ดันเต้ได้รับบารมีเทพ ข้อความระบบปรากฏขึ้นเพียงสองบรรทัด ส่งผลให้กริดยังจำได้แม่นยำ
[‘พุงซา’ เหลือบเห็นท่านยืนบนศพฮันกยอล]
[★สำคัญ★ อัศวินของท่าน ‘ดันเต้’ กลายเป็นศัตรูกับอาณาจักรฮวาน]
ทั้งหมดมีแค่นี้
ไม่ว่าจะดีหรือร้าย แต่ดันเต้ก็ได้รับบารมีเทพ และกำลังวังชาฟื้นฟูกลับมาเหมือนเกิดใหม่
ทว่าในกรณีของไอรีน เธอกลับได้เป็นถึงพลเมืองอาณาจักรฮวาน ได้รับความสนใจอย่างมากจากห้าอาวุโส และยังได้ความเคารพจากเหล่าขุนนาง ไม่ต้องสงสัยเลยว่า บารมีเทพของไอรีนจะเพิ่มพูนขึ้นมากมายเพียงใด
กริดดีใจจนนึกอยากกระโดดโลดเต้น
ขณะพยายามข่มใจให้สงบ เสียงของซือโหยวดังแว่ว
> ข้าจะจดจำเจ้าไว้เป็นอย่างดี
“…!”
เมื่อสิ้นประโยคแฝงความนัย ภาพการมองเห็นของกริดพลันดำมืด
และเมื่อลืมตาอีกครั้ง
“กลับมาแล้วหรือ”
ตรงหน้าคือแกรนมาสเตอร์ รอบตัวคือทางเข้าอาณาจักรฮวาน
วิวทิวทัศน์ของต้นท้อยังไม่แปรเปลี่ยน เป็นฉากเดียวกับก่อนที่กริดจะเข้าไปสอบซือโหยวทุกประการ
ท้องฟ้ายังเป็นยามพลบค่ำ
กระแสเวลาไหลเชื่องช้าอย่างน่าประหลาด ความรู้สึกคล้ายกับหลับฝันไปเพียงชั่วครู่
กริดยืนเหม่อสักพัก ก่อนจะหันไปสบตากับเหล่ายังบัน
พวกมันซึ่งเคยโอหังเต็มประดา กลับทำเพียงผงกศีรษะรับเล็กน้อย
“…คงเข้าใจแล้วสินะ”
“…??”
เหตุใดพวกมันถึงเปลี่ยนท่าทีกะทันหันเช่นนี้?
‘เกิดอะไรขึ้นกันแน่…?’
ซีบาลและเหล่าอัศวินสีชาดใหม่ต่างพากันฉงน
เหตุเพราะแฮจินที่มักยืนเชิดหน้าด้วยความหยิ่งทระนง กลับกำลังเผยรอยยิ้มว่างเปล่าด้วยดวงตาเหม่อลอยคล้ายคนเสียสติ
‘…คงเป็นการดีกว่าถ้าไม่ถาม’
เหล่าอัศวินสีชาดใหม่ยังไม่ลืมว่า ไอรีนสังหารซูซานได้โหดเหี้ยมเพียงใด
พวกมันเลิกความคิดที่จะไต่สวนหาความจริง
[ท่านคือผู้เล่นคนแรกที่ผ่านการสอบซือโหยว]
หน้าต่างข้อความระบบใหม่ปรากฏขึ้นตรงหน้ากริด
[ท่านถูกจัดให้อยู่ในลำดับที่หนึ่ง]
Comments
Post a Comment