จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,297
สำหรับยังบัน อาณาจักรฮวานเป็นเหมือนบ้าน
แต่ขณะเดียวกันเปรียบดังคุก
คุกที่พวกมันพยายามหลบหนีเพื่อออกไปเผยแผ่ความศรัทธาแก่มวลมนุษย์
“ถ้าคิดจะให้โอกาสมนุษย์ ก็ต้องให้โอกาสพวกข้าด้วย!”
ยังบันเกลียดชังซือโหยวอย่างมาก
คงเป็นเรื่องผิดปรกติเสียมากกว่า หากยังบันจะชื่นชอบซือโหยว ผู้เคยไม่ให้ความเคารพต่อห้าอาวุโสเลยสักนิด
อย่างไรก็ตาม ความเก่งกาจของซือโหยวคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ยังบันยำเกรง
และเหนือสิ่งอื่นใด ยังบันปรารถนาจะผ่านการสอบซือโหยวมากกว่าใครในโลก
“ตกลง”
การสอบซือโหยวมิใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยนัก ไม่บรรทัดฐานช่วงเวลาการจัดสอบที่แน่ชัด ซือโหยวมักจัดสอบในทุกหลายสิบหรือหลายร้อยปี
แต่ปัจจุบันกลับเกิดขึ้นโดยไม่มีลางบอกเหตุล่วงหน้า
‘โอกาสมาถึงแล้ว!’
สีหน้าแฮจินพลันสดใสเมื่อเห็นซือโหยวตกปากรับคำกลุ่มยังบัน
อ้างอิงจากการสอบครั้งล่าสุด เธอผ่านมาได้เป็นอันดับที่ 22แฮจินจึงไม่เคยเคลือบแคลงว่า ครั้งนี้ตนจะต้องติดอันดับท็อป 7 อย่างแน่นอน
สืบเนื่องมาจาก ทั้งคูลู นาฮึน ฮันกยอล ฮารัง ซาอูล มารุ การัม และอีกมาก ต่างเสียชีวิตไปจนหมดแล้ว
เมื่อเหล่ายังบันที่มีโอกาสแย่งท็อป7 ไม่อยู่ ก็ถึงคราวของตนเฉิดฉายเสียที
ขณะเดียวกัน ฝ่ายมนุษย์ตอบตกลงเข้าร่วม
“ทางนี้ก็ไม่ขัดข้อง”
แฮจินเคยคิดว่ามนุษย์เพศหญิงจะหวาดกลัวและตอบปฏิเสธ สิ่งที่เกิดขึ้นจึงนับว่าเหนือความคาดหมายพอสมควร
‘ช่างไร้เดียงสานัก’
เฉกเช่นอัครสาวกซิกที่ปฏิเสธห้าอาวุโส ผู้หญิงคนนี้มิได้รู้ความเลยสักนิด
ไม่อยากเชื่อว่าจะกล้ารับการทดสอบ คงเตรียมใจตายไว้แล้วสินะ…
‘หึหึ… ไม่แปลก คนเรามีสิทธิ์จะรนหาที่ตาย’
แฮจินส่ายหน้าพร้อมกับชำเลืองดวงตาแฝงความขุ่นมัวไปทางซือโหยว
เธอกำลังไม่พอใจซือโหยว เนื่องจากอีกฝ่ายเสนอให้มนุษย์ต่ำต้อยเข้ารับการทดสอบอันศักดิ์สิทธิ์และทรงเกียรติ
‘เล่นตลกเกินขอบเขตไปแล้ว’
ในสายตายังบัน ซือโหยวไม่ปรกติมาตั้งแต่ต้น
มีครั้งหนึ่ง ซือโหยวเคยแสดงความชื่นชอบแพ็กม่า ผู้ถูกเหล่ายังบันตนอื่นรังเกียจเพราะมีหลักการและแนวคิดพิสดารเกินไป
สำหรับยังบัน ซือโหยวไม่มีเหตุผลรองรับในแทบทุกการกระทำของตน
‘ในวินาทีที่มนุษย์เข้าร่วมการทดสอบเพื่อยกระดับเป็นเทพ คุณค่าของเทพจะยิ่งถดถอย’
แก่นสำคัญของเทพคือ ‘ระดับตัวตน’ ยิ่งมีระดับตัวตนสูงเพียงใด ก็ยิ่งเข้าใกล้ความเป็นเทพที่แท้จริงมากเท่านั้น และจะยิ่งมีอำนาจมากขึ้น
การสอบซือโหยวถือเป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถ ‘ยกระดับตัวตน’
นับเป็นความเมตตาจากมหาเทพ สู่ผู้กำลังจะกลายเป็นเทพ
เช่นนั้นแล้ว มันจะไม่มัวหมองเอาหรือ หากเทพต้องแบ่งปันสิ่งนี้กับมนุษย์?
คิดได้เช่นนี้ แฮจินและยังบันต่างพากันหงุดหงิด
ยังบันบางตนเริ่มทนไม่ไหว พวกมันแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน
“คิดจะให้มนุษย์เข้าร่วมการสอบซือโหยวจริงหรือ? ไม่ได้ล้อกันเล่นใช่ไหม!”
“เป็นไปไม่ได้… ทำไมสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำถึงมีสิทธิ์สอบ?”
“ระวังคำพูดด้วย”
ซือโหยวแทรก
กริ๊งกริ๊ง~
กระดิ่งสร้อยคอและสายรัดผมของมันเริ่มส่งเสียงดัง
เพราะซือโหยวกำลังยิ้ม
กระดิ่งตามร่างกายสามารถตอบสนองต่อทุกพฤติกรรมละเอียดอ่อน
“ข้ายินยอมให้มนุษย์ทดสอบเพราะเชื่อว่าเขาแข็งแกร่งเพียงพอ พวกเจ้าที่บังเอิญได้รับอานิสงส์เพราะเขา ยังจะกล้าเคลือบแคลงคุณสมบัติของเขาอีกหรือ? ความละอายใจอยู่ตรงไหน ยังบันควรสง่างามและทรงเกียรติไม่ใช่หรือ?”
“…”
สีหน้ายังบันเริ่มบิดเบี้ยวเมื่อได้ยินเหตุผลสุดเหลวไหล
การสอบซือโหยวที่จัดขึ้นเพื่อมนุษย์… บ้าบอสิ้นดี…
การสอบซือโหยวคือพิธีกรรมเลื่อนระดับเป็นเทพ เหตุใดมนุษย์ถึงสามารถเข้าร่วม?
เฉกเช่นทุกครั้ง ยังบันเผยสีหน้าเอือมระอาต่อซือโหยว แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงสงบปากสงบคำ
ขณะเดียวกัน แฮจินพยักหน้ารับอย่างยินดี
“ถ้าท่านยืนกรานเช่นนั้น พวกเราคงทำตามอย่างไม่มีทางเลือก”
แฮจินกำลังมองว่า แบบนี้ยิ่งดีไปใหญ่
เธออยากจะเห็นมนุษย์ที่บังอาจจ้องตนด้วยสายตาท้าทาย เผชิญความทุกข์ระทมและเจ็บปวดแสนสาหัสจนถึงแก่ความตาย
“ประเมินจากการที่เจ้าบังอาจสบตาข้า สติของเจ้าคงไม่ปรกติสักเท่าไร คนเช่นเจ้าจะมีจุดจบอื่นใดไม่ได้นอกจากถูกควักลูกตา”
แฮจินจ้องกริดพลางฉีกยิ้มกว้าง
จิตสังหารพวยพุ่งออกมาอย่างท่วมท้น
นี่คือจิตสังหารของครึ่งเทพ โดยปรกติแล้วควรเป็นสิ่งที่มิอาจต้านทาน
แต่กริดกลับไม่ระคายเคืองแม้แต่น้อย
‘ยังบันอ่อนแอแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร…’
ตั้งแต่อดีตจนถึงไม่กี่เดือนก่อน มาตรฐานยังบันในสายตากริดมีเพียงการัม
ถึงจะชั่วช้าและต่ำทราม แต่ก็เป็นตัวตนทรงพลังที่กริดมองว่ามีฝีมือเกินเอื้อมมาตลอด เพียงสบตาก็มากพอจะทำให้เหงื่อเย็นเม็ดใหญ่ผุดขึ้นตามร่างกาย
แต่แฮจินแตกต่างออกไป
เธออาจเป็นยังบันที่มีฝีมือ แต่ก็สร้างแรงกดดันได้ไม่มากนัก เฉกเช่นยังบันตนอื่นที่ไม่ใช่การัม
เป็นเพราะแฮจินอ่อนแอ?
ไม่ใช่
ฝีมือของยังบันทุกตนไม่ห่างกันมากนัก
เหนือสิ่งอื่นใด แฮจินผ่านการสอบซือโหยวในอันดับยี่สิบกว่า ถูกจัดให้อยู่กลุ่มค่อนข้างมีฝีมือ
แต่กริดรู้สึกอ่อนแอเพราะมันเคยสังหารยังบันที่เก่งกว่าแฮจินมาแล้ว
ชายหนุ่มยอดเยี่ยมเสียจน มิอาจถูกสะกดด้วยจิตสังหารอ่อนแอของแฮจินตามลำพัง
กริด ผู้พยายามคัดลอกบุคลิกของไอรีนมาตลอดหลายวัน ในที่สุดก็เปิดเผยธาตุแท้
“แล้วมาดูกัน… ว่าใครจะเป็นฝ่ายถูกควักลูกตา”
ชายหนุ่มเริ่มแผ่ความมุ่งร้ายและจิตสังหารใส่แฮจิน
เป็นอากัปกิริยาที่ตรงข้ามกับดวงตาแสนอ่อนโยนของไอรีนโดยสิ้นเชิง
เมื่อบรรยากาศรอบตัวแปรเปลี่ยนจากหน้าเป็นหลังมือ แฮจินเผยท่าทีประหลาดใจ
‘หล่อนเก็บซ่อนฝีมือมาตลอด…?’
มนุษย์ต่ำต้อยกล้าตบตายังบัน?
เมื่อเริ่มเกิดความอับอาย หญิงสาวรีบจ้องไปทางซือโหยว
เป็นสัญญาณบอกให้เริ่มการทดสอบเสียที
ซือโหยวหันไปมองกริดอย่างสนใจ
“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอจัดการสอบขึ้น ณ บัดนี้”
กริ๊ง~ กริ๊ง~ กริ๊ง~
เสียงระฆังดังกังวานสามหน ก่อนจะลางเลือนลงทีละนิด เช่นเดียวกับสติของกริดและยังบัน
ราวกับจิตพวกมันถูกดูดกลืนไปยังที่ใดสักแห่ง
***
“นี่มัน…”
กริดที่มึนงงไปชั่วขณะ พบว่าทัศนวิสัยรอบตัวเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
พื้นหินอ่อนที่เคยมียังบันเดินขวักไขว่ บัดนี้อันตรธานหาย กลายเป็นหุบเขาและหน้าผาสูงชันหลายสิบแห่งที่ชวนให้วิงเวียนศีรษะ
กริ๊ง~
“การทดสอบแรก วัดความกล้าหาญ”
เสียงของซือโหยวดังสะท้อนไปรอบหุบเขาก่อนจะเลือนหาย
จากนั้น การสอบอย่างเป็นทางการได้เริ่มต้นขึ้น
เพียงพริบตา เสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่ทำให้แก้วหูแทบระเบิด พลันหวีดร้องขึ้นมาจากก้นหุบเหวด้านล่างกริด
บททดสอบของยังบันคือการเผชิญหน้ามหาเทพ
ส่วนบททดสอบของกริดคือการเผชิญหน้ากับมังกรมารบันเฮเลียร์
นี่คือเป้าหมายที่แต่ละคนหวาดกลัวจากก้นบึ้ง
รูปแบบการสอบซือโหยวจะเปลี่ยนแปลงทุกครั้ง และนี่คือครั้งแรกของทั้งกริดและยังบันที่ต้องเผชิญบททดสอบเกี่ยวกับความกล้าหาญ
เหล่ายังบันต่างพากันสั่นกลัว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ให้กำเนิดซึ่งกำลังจ้องมองมาด้วยสายตามุ่งร้ายกว่าในยามปรกติหลายเท่า
สถานการณ์ทางด้านกริดก็ไม่สู้ดีนัก
‘ทำไมถึงเป็นบันเฮเลียร์…?’
บททดสอบเกี่ยวกับความกลัว
กริดเคยผ่านมันมาแล้วหนหนึ่งบนหมู่เกาะเบเฮ็น
ครั้งนั้นค่อนข้างง่าย เพราะเป้าหมายเป็นเพียงกวางและกระต่าย
แต่ในปัจจุบัน ความหวาดกลัวต่อกระต่ายและกวางถูกขจัดจนหมดจดนานแล้ว ศัตรูอันดับหนึ่งของชายหนุ่มมิใช่มอนสเตอร์อ่อนแออีกต่อไป หากแต่เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่ถูกยกย่องให้แข็งแกร่งเป็นอันดับหนึ่งของโลก
พัฒนาการอันก้าวกระโดดของกริด กำลังย้อนกลับมาเป็นอุปสรรคในบททดสอบ
‘บ้าจริง… แล้วต้องทำยังไงถึงจะผ่าน?’
ฉากการพุ่งทะยานอันน่าเกรงขามของบันเฮเลียร์ ตรงตามความทรงจำของกริดในงานแข่งซาทิสฟายนานาชาติทุกประการ แผ่นเกล็ดที่ขยับเขยื้อนทุกครั้งเมื่อหายใจ ดวงตาอันดุร้าย จมูกใหญ่ที่นูนยื่น ทุกองค์ประกอบสมจริงจนยากจะให้เชื่อว่านี่เป็นเพียงภาพลวงตา
ไม่แปลกที่บันเฮเลียร์จะถูกจำลองอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะผู้สร้างมิใช่ใครอื่นนอกจากหนึ่งในเทพระดับสูงสุด
‘เราต้องสู้กับมัน…?’
กริดกลืนน้ำลายพลางชักดาบ สายตาเพ่งมองลงไปยังบันเฮเลียร์ด้านล่างพร้อมกับกัดฟัน
ชายหนุ่มตัดสินใจปลดปล่อยวิชาดาบผสานห้าชนิด หมายขัดขวางการบินโฉบขึ้นมาถึงยอดหน้าผาของอีกฝ่าย
เพียงพริบตา ห้วงมิติใต้ฝ่าเท้ากริดเกิดการบิดเบี้ยว
ดาบมังกรเพลิงรวบรวมพลังงานปริมาณมหาศาลเพื่อสำแดงฤทธิ์เดช
การโจมตีอันหนักหน่วง พุ่งแหวกอากาศกระแทกร่างมังกรยักษ์จนสั่นสะเทือนไปถึงโคนเกล็ด
โฮก—!
บันเฮเลียร์ส่งเสียงกรีดร้อง
‘ดีล่ะ!’
ชายหนุ่มเชื่อว่า หากตนใช้วิชาดาบผสานห้าชนิดด้วยดาบมังกรเพลิง ความเสียหายต่อสิ่งมีชีวิตระดับสูงจะเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ
กริดที่เริ่มมั่นใจในการสอบ ฉีกยิ้มกว้างหลังจากเห็นแนวคิดของตนประสบความสำเร็จ
จากนั้น มันกระโจนใส่เท้าบันเฮเลียร์เพื่อไต่ไปตามแนวท้อง เป้าหมายคือการลอบเข้าข้างหลัง
‘ชุนโป!’
ขณะชายหนุ่มกำลังยืนบนแผ่นมังกร โดยหวังจะส่งตัวเองไปยังยอดผาสูงในจุดห่างไกล
ร่างกายขนาดมหึมาและน่าเกรงขามของบันเฮเลียร์ พลันอันตรธานหายโดยสมบูรณ์ ราวกับทั้งหมดเป็นเพียงภาพมายา
ในเวลาเดียวกัน ยังบันที่เหลือกำลังเก็บอาวุธกลับ
“ข้าผิดไปแล้ว! ข้าขอโทษ!”
“บังคับให้เราเล็งดาบใส่เทพ… ซือโหยวต้องเสียสติไปแล้วแน่”
ถึงยังบันจะตระหนักว่าฮานึลตรงหน้าเป็นภาพลวงตา แต่ก็ไม่มีใครกล้าโจมตีเข้าไปส่งเดช
อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุด พวกมันไม่มีทางเลือกนอกจากจำต้องหลั่งน้ำตาและโจมตีใส่ฮานึลพลางกล่าวคำขอโทษ
การทดสอบแรกจบลงอย่างลุล่วง
ยังบันเดินมายืนข้างกริดพร้อมกับกระทืบเท้าฉุนเฉียว
“เจ้ามนุษย์ต่ำช้า! ช่างเสียมารยาท! เหตุใดเจ้าถึงกลัวมังกรมากกว่าท่านฮานึล! กำลังดูหมิ่นท่านมหาเทพอยู่รึไง!”
“…”
ในสายตากริด เหตุผลของโทสะช่างเหลวไหลสิ้นดี
ชายหนุ่มชำเลืองยังบันด้วยสายตาเหยียดหยัน ราวกับอีกฝ่ายเป็นพวกสติไม่สมประกอบ
ทันใดนั้น ฉากรอบตัวทุกคนเปลี่ยนไปอีกครั้ง
“การทดสอบที่สองจะค่อนข้างยาก”
เสียงผีเสื้อกระพือปีกที่ฟังดูคล้ายเสียงน้ำตก เริ่มดังขึ้นจากท้องฟ้าด้านบน
กริดพลันผงะเมื่อได้เห็นผีเสื้อนับหมื่นนับแสนตัว มุ่งหน้ามาทางตนด้วยความเร็วสูง
สัญชาตญาณของเหนือมนุษย์ที่เงียบงันมาตลอดในยามเผชิญหน้าบันเฮเลียร์ บัดนี้เริ่มร้องเตือนถึงภัยอันตราย
[ความตายกำลังคืบคลานเข้าใกล้!]
“…!”
กริดที่ถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ รีบรวบรวมสมาธิ
ปีกของผีเสื้อคมกริบประหนึ่งใบเลื่อย
ชายหนุ่มเชื่อว่า ผิวหนังของตนคงขาดวิ่นหากถูกสิ่งนี้เฉือนผ่านแม้เพียงเล็กน้อย
“ข้าเข้าใจแล้วว่า… เหตุใดท่านซือโหยวถึงให้เจ้าเข้าร่วมการสอบ”
เป็นเสียงเย้ยหยันจากแฮจิน
“เพราะท่านต้องการเชือดไก่ให้ลิงดู เป็นการตักเตือนอัครสาวกซิก”
สาเหตุที่เหล่ายังบันไม่ไว้ใจซือโหยว เพราะพวกมันไม่เคยทราบเจตนาแท้จริงของอีกฝ่าย
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน ว่ายังบันใช้ชีวิตร่วมกับซือโหยวมานานหลายปี และเคยพึ่งพาซือโหยวในหลายเรื่อง
ยังบันเชื่อว่า ซือโหยวต้องการลงโทษซิกที่ริอ่านต่อต้านเจตจำนงของฮานึล
หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดคือ เหล่าผีเสื้อจำนวนมหาศาลที่ราวกับกำลังปกคลุมทั่วทั้งโลก
ไม่มีเทคนิคหรือทักษะใดสามารถขจัดพวกมันได้หมดจด
การจะข้ามผ่านบททดสอบ มีแต่ต้องอาศัยบารมีและพลังอำนาจของเทพเท่านั้น
เหล่ายังบันต่างกระตุ้นลมหายใจมังกรคราม ส่งผลให้มวลหมู่ผีเสื้อจำนวนมหาศาลรอบตัวถูกแสงอสนีบาตฟาดผ่าจนแหลกสลายในพริบตา
แฮจินที่กำลังเริงร่า หันไปมองทางกริด
“…!”
ดวงตาของเหล่ายังบันพลันเบิกโพลงพร้อมเพรียง
พวกมันเคยเชื่อว่า มนุษย์หญิงคงไม่แคล้วเสียชีวิตคาที่หากถูกฝูงผีเสื้อโฉบทำร้าย
แต่ในความเป็นจริง รอบกายหญิงสาวกลับเต็มไปด้วยเปลวเพลิงสีส้มทองสุกสว่าง โดยทั้งอาณาเขตและอานุภาพ ล้วนทรงพลังจนลมหายใจมังกรครามเทียบไม่ติด
‘บ้าน่า…!’
ยังบันตระหนักถึงต้นตอของเพลิงได้ทันที
ไม่ใช่เรื่องยากอะไรนัก เพราะนั่นคือพลังที่พวกมันเคยครอบครอง
‘ลมหายใจฟินิกซ์แดง!’
ไม่สิ ไม่ใช่ระดับของลมหายใจ…
ชนิดของเปลวเพลิง ใกล้เคียงกับพลังต้นกำเนิดของฟินิกซ์แดงมาก
ฉากตรงหน้าทำให้พวกมันหวนนึกถึง ‘มีร์’
ยังบันที่เฉียดใกล้ความเป็นเทพมากที่สุด
Comments
Post a Comment